Fujifilm เปิดตัว instax mini LiPlay+ กล้องไฮบริดรุ่นพรีเมียมที่ต่อยอดจากความสำเร็จของรุ่นก่อนหน้า โดยชูจุดเด่นที่ไม่เคยมีมาก่อนในซีรีส์ instax นั่นคือ "กล้องหน้าสำหรับเซลฟี่" พร้อมอัปเกรดฟีเจอร์ด้านเสียงและวิดีโอให้ตอบโจทย์คอนเทนต์ครีเอเตอร์และคนรุ่นใหม่ยิ่งขึ้น
instax mini LiPlay+ ยังคงคอนเซ็ปต์ของกล้องไฮบริดที่ผสานโลกดิจิทัลและอนาล็อกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพและดูพรีวิวผ่านจอ LCD ด้านหลังก่อนสั่งปรินต์ได้ หรือจะใช้เป็นเครื่องปรินต์ภาพจากสมาร์ทโฟนก็ได้เช่นกัน
ฟีเจอร์เด่นที่อัปเกรดใน instax mini LiPlay+
- ดีไซน์และวัสดุพรีเมียม: ตัวกล้องมาใน 2 เฉดสีใหม่ ได้แก่ SAND BEIGE และ MIDNIGHT BLUE บริเวณปุ่มชัตเตอร์และเลนส์ใช้วัสดุโลหะสีเมทัลลิกเพื่อเสริมลุคให้ดูหรูหรายิ่งขึ้น
- กล้องหน้าสำหรับเซลฟี่ (Front-Facing Camera): นับเป็นครั้งแรกของกล้อง instax ที่ติดตั้งกล้องหน้ามาให้ในตัว ทำให้การถ่ายภาพเซลฟี่กับกลุ่มเพื่อนเป็นเรื่องง่าย สามารถตรวจสอบมุมและองค์ประกอบภาพผ่านหน้าจอ LCD ด้านหลังได้ทันที
- Layered Photo Mode: ฟีเจอร์ถ่ายภาพซ้อนที่ให้ผู้ใช้สามารถรวมภาพเซลฟี่จากกล้องหน้าเข้ากับภาพพื้นหลังจากกล้องหลักได้ สร้างสรรค์ภาพถ่ายที่มีเรื่องราวและมีมิติไม่ซ้ำใคร
- instax Sound Album (อัลบั้มเสียง): ยกระดับฟีเจอร์เสียงไปอีกขั้น โดยสามารถเลือกภาพที่มีการบันทึกเสียงไว้สูงสุด 10 ภาพ มาสร้างเป็นวิดีโอสไลด์โชว์ความยาวสูงสุด 30 วินาที พร้อมใส่เพลงประกอบ จากนั้นระบบจะสร้าง QR Code เพื่อปรินต์ลงบนภาพปก ให้ผู้ใช้สามารถสแกนเพื่อรับชมหรือแชร์วิดีโอความทรงจำนั้นได้
- ปรินต์พร้อมเสียงจากสมาร์ทโฟน: ฟังก์ชัน Direct Print ได้รับการปรับปรุงให้ผู้ใช้สามารถแนบข้อความเสียงไปกับรูปภาพในสมาร์ทโฟน แล้วสั่งปรินต์ออกมาเป็นภาพ instax ที่มี QR Code เสียงได้
นอกจากตัวกล้อง ยังมีการเปิดตัวฟิล์มขนาดมินิลายใหม่ “SOFT GLITTER” ที่มีกรอบเป็นกลิตเตอร์สีทองไล่โทนสีอย่างสวยงาม
ราคาและการวางจำหน่าย
กล้อง instax mini LiPlay+ จะเริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม 2568 ในราคา 6,990 บาท ผ่านช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการของฟูจิฟิล์มและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

